นักวิชาการ เผยผลสำรวจข่าวลวงเรื่องถั่งเช่ามีมากที่สุด เหตุคนไทยเข้าถึงข้อมูลสุขภาพทางการแพทย์ได้ยาก หวั่นข่าวลวงที่เกี่ยวกับการเมืองจะสร้างความเกลียดชังและแตกแยกในสังคม แนะแก้ปัญหาข่าวลวงที่แพร่ระบาดอยู่ในสังคมด้วยการการศึกษา สอนให้คนรู้จักคิด วิเคราะห์เป็น แนะรัฐ-เอกชนจัดทำแหล่งสืบค้นข้อมูลที่ถูกต้อง
ในงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 17 “How to รับมือปัญหาข้อมูลสับสน/ข่าวสารลวงหลอก บทเรียนไทยและเทศ” ดร.จิราพร วิทยศักดิ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ประธานเปิดงานเสวนา กล่าวว่า สสส.มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างสังคมสุขภาวะ และตระหนักดีว่า การจะเกิดสังคมสุขภาวะได้จะต้องเกิดสังคมแห่งปัญญาก่อน ดังนั้นข้อมูล ข่าวสารจึงเป็นสิ่งสำคัญอันจะนำไปสู่ปัญญาในการสร้างสรรค์ของสังคม ด้วยความเหมาะสมอันจะนำไปสู่สังคมสุขภาวะ ดังที่ Danny Wallace ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้ กล่าวไว้ว่า การจัดการความรู้มี 4 ระดับ ได้แก่ 1. ข้อมูล 2.สารสนเทศ 3. ความรู้ 4.ปัญญา
ทั้งนี้ข้อมูลเป็นระดับพื้นที่ที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะนำมาสู่การเป็นสารสนเทศ ที่ต้องมีการประมวลจัดระดับความสำคัญในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจนกระทั่งเกิดเป็นความเข้าใจ กลายเป็นความรู้ และขั้นสูงคือปัญญา คือการจัดการบริบทขององค์คามรู้ได้ถูกต้อง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ปัญญาที่เกิดย่อมไม่ดี
ดร.รดี ธนารักษ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์/ภาคีโคแฟค ภาคเหนือ กล่าวว่า จากผลสำรวจของโคแฟค จากกลุ่มตัวอย่าง 670 คน พบว่า 97% เคยได้รับข่าวลวง(FAKE NEWS) ผ่านช่องทางทางเฟสบุ๊คมากที่สุด ลองลงมาคือทางไลน์ และบุคคลใกล้ชิดที่สนิท ทั้งนี้พบว่า 92% ของกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยต้องหาความจริงร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยทั่วไปประชาชนจะค้นหาความจริงจาก GOOGlE ,ชัวร์ก่อนแชร์ และโคแฟค
โดยพบว่าข่าวลวงส่วนมากเป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพและข่าวลวงที่มีมากที่สุดคือข่าวลวงของสรรพคุณถั่งเช่า รองลงมาคือ ฟ้าทะลายโจรแก้โควิด และมะนาวโซดารักษามะเร็ง ข่าวลวงดังกล่าวมักมีแรงจูงใจมาจากทางธุรกิจและสื่อมวลชนที่ขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิต
“สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือ ข้อมูลข่าวลวงที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ สร้างความเกลียดชังและแตกแยก ส่วนทางของออกการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ 14% สื่อมวลชนชาวยตรวจสอบข่าวลวงอย่างทันท่วงที 13% แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต้องเพิ่มฟังก์ชั่นการเตือน/ลบข่าวที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จ และ12% คือการมีแพลตฟอร์มเฉพาะ เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลในการตรวจสอบข่าวลวง เช่น โคแฟค” ดร,รดี กล่าว
นายเทพชัย หย่อง ที่ปรึกษา Thai PBS กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสพูดคุยกับคนทำงานในอาเซียน พบว่า ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกประเทศจะพบเรื่องของข่าวลวงมากที่สุดเหตุเพราะคนอยู๋กับบ้านมากขึ้น จนมีวลีของข่าวลวงว่า “ข่าวลือ ข่าวปลอม ไม่มีพรมแดน” บางครั้งข่าวลวงที่เกิดจนเป็นกระสนั้นสามารถกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย
“ทั้งนี้ข่าวลือ ข่าวปลอมสามารถหักล้างได้ด้วยข้อมูลจริง แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ข่าวปลอมที่เกี่ยวกับการเมืองที่มีในระยาวและไม่สามารถหักล้างด้วยข้อเท็จจริงได้ พิสูจนข้อเท็จจริงได้ยากจะนำไปสู่ความเกลียดชังและขัดแย้ง การแก้ไขในระยะยาวคือเราต้องสร้างคนรุ่นใหม่ที่ไม่เชื่อข่าวลือง่ายๆและต้องไม่เป็นผู้สร้างข่าวปลอมด้วย” นายเทพชัย กล่าว
ด้าน ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันท์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เนื้อหาของข่าว คลิปที่ไม่ได้ตรวจสอบ จะเป็นตัวฉุดรั้งให้จุดมตรฐานของสื่อต่ำลง ดังนั้น องค์กร สถาบัน นักวิชาการต้องเข้าร่วมร่วมกันตรวจสอบ วิจัย หรือทำหน้าที่ของตนเองให้มากขึ้น และหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อและแพลตฟอร์มต่างๆที่ถูกเรียกร้องให้มีการตรวจสอบตนเองด้วย