ที่โรงแรมแมนดาริน มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) ร่วมกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และ มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้ร่วมกันจัดเสวนาร่วมกับสื่อมวลชนระดมความคิดเห็นเรื่อง ”มองสื่อไทย...สร้างสรรค์หรือด้อยค่าสตรี” ในสถานการณ์ที่ข่าวของดาราดัง แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางน้ำกำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวถึงความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่ในสื่อต่างๆว่า จากการทำงานและสังเกตการณ์ของมูลนิธิที่ผ่านมาสื่อมีทั้งสร้างสรรค์และด้อยค่าผู้หญิง ที่สร้างสรรค์คือฉากไม่เหมาะสมในละครลดน้อยลงเพราะหน่วยงานอย่าง กสทช.กำกับดูแลมากขึ้น แต่ด้านการด้อยค่าไม่ใช่แค่เรื่องแตะเนื้อต้องตัวอย่างเดียวเพราะยังคงมีคำพูดของนักแสดงที่เห็นผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศมองผู้หญิงด้อยกว่าตัวเองยังคงมีอยู่ นอกจากนี้รายการวาไรตี้ รายการตลกยังมีประเด็นที่ชอบด้อยค่าภรรยาตัวเองนำมาล้อเลียน มีการพูดสองแง่สองง่ามกับผู้หญิงและมีหลายครั้งที่พิธีกรตลกมีการแตะเนื้อต้องตัวแขกรับเชิญที่เป็นผู้หญิง เมื่อไม่มีการโวยวายก็มองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งไม่ถูกต้อง ขณะที่ถ้าเป็นการรายงานข่าวเรื่องผู้หญิงถูกคุมคามทางเพศมักจะรายงานแค่ปรากฏการณ์เรื่องนิสัยใจคอ พฤติกรรมของผู้หญิงแต่ไม่ให้ความสำคัญกับการทำข่าวสืบสวนหาสาเหตุของปัญหาโดยเฉพาะความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ดำเนินรายการวิทยุคลื่น เอฟเอ็ม 96.5 อสมท.และอดีตกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของสื่อไทยต่อการส่งเสริมความ เท่าเทียมว่าต้องแยกเป็น 2 ประเด็น คือประเด็นแรกการส่งเสริมความเท่าเทียมในองค์กรวิชาชีพสื่อและองค์กรสื่อตั้งแต่ตั้งสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2489 ถึงปี 2542 มีนายกสมาคมฯที่เป็นผู้หญิงแค่ 3 คนจาก 22 คน เมื่อรวมกันเป็นสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันมีนายกสมาคมฯที่เป็นผู้หญิง 2 คนจาก 11 คน ยิ่งไปดูลึกถึงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารสื่อหลักๆส่วนไหนจะเป็นผู้ชาย ดังนั้นสื่อคงต้องคิดถึงการเพิ่มบทบาทผู้หญิงให้มากขึ้น แต่น่าสนใจคือสื่อออนไลน์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนว่าสัดส่วนของผู้หญิงที่เป็นบก.บห.นั้นครึ่งต่อครึ่ง เช่นสื่ออย่าง The reporter , The Bangkok Insight ,The momentum ส่วนประเด็นที่สองเรื่องบทบาทสื่อต่อการส่งเสริมความเท่าเทียมของหญิงชายนั้นในอดีตต้องยอมรับความจริงว่าการเสนอข่าวเกี่ยวกับผู้หญิงจะเน้นเรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศในเชิงของปรากฎการณ์เป็นหลักส่วนคอลัมน์หรือรายการในเชิงความคิด สร้างสรรค์อาจจะมีน้อยหรือไม่ก็เน้นไปที่ความสวยความงามหรือข่าวสังคมชั้นสูง แต่เราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในสื่อหลายสื่อในปัจจุบันเช่นไทยรัฐออนไลน์ แนวหน้า มีคอลัมน์ผู้หญิง มีคอลัมนิสต์ผู้หญิงอยู่หลายคน ส่วนเนื้อหาที่นำเสนอก็ก้าวหน้าเช่น ภัยผู้หญิง, ดนตรีต้านการล่วงละเมิด, สอน 3 ท่ามวยไทยเบสิคที่ผู้หญิงควรฝึกไว้ป้องกันตัว
ด้าน ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสื่อไทยจะส่งเสริมบทบาทผู้หญิงอย่างไรว่า ทางออกของสื่อไทยในการนำเสนอประเด็นผู้หญิง สื่อต้องทำงานกับโลกภายในของตัวเอง ใช้หัวใจในการทำงานสื่อมองให้เห็นถึงความทุกข์ของผู้หญิงซึ่งแตกต่างจากปัญหาอื่นของสังคม เพราะความทุกข์ของผู้หญิงถูกระบบโครงสร้างสังคมทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ สื่อต้องใช้ความเป็นธรรมนำความเป็นกลาง ความเป็นธรรมจะทำให้เรามองเห็นผู้หญิงในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี ไม่ลดคุณค่าของผู้หญิงให้เหลือแค่ร่างกาย หากยึดหลักความเป็นธรรมแล้วการรายงานเรื่องของผู้หญิงจะไม่จบเพียงแค่เหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมบนยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ต้องขุดให้ลึกไปจนถึงฐานรากของปัญหาในระดับโครงสร้างสังคมวัฒนธรรมที่เป็นต้นเหตุของความรุนแรงต่อผู้หญิง
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้พูดถึงบทบาทของสื่อมวลชนกับการเสนอข่าวการเสียชีวิตของดารานักแสดงหญิงชื่อดังแตงโมภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ด้วย โดยดร.ชเนตตีกล่าวว่า สื่อต้องยกระดับข่าวนี้ให้เป็นมากกว่าข่าวอาชญากรรม ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว โดยเพิ่มเติมมุมมองการคุ้มครองสิทธิของผู้สูญเสียชีวิตและชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่ต้องแก้ไขในระดับโครงสร้างสังคม เพื่อให้บทเรียนเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่กลับมาเกิดซ้ำสอง เช่นเดียวกับนายจะเด็จที่ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่าสื่อควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้เสียหายและคนที่เกี่ยวข้อง ลดความเป็นดราม่าที่เน้นเรตติ้งคนดูลงเน้นเจาะลึกไปยังต้นตอปัญหาและตั้งคำถามกับสังคมเรื่องของความปลอดภัยของการเดินทาง ภัยของผู้หญิงทำอย่างไรไม่ให้ถูกคุกคาม การดื่มแอลกอฮอล์บนเรือผิดหรือไม่ ขณะที่นายวิเชษฐ์กล่าวว่า สื่อต้องให้เกียรติคนที่เสียชีวิตเพราะคนตายพูดไม่ได้และต้องนำเสนอข้อเท็จจริงให้มากกว่าความรู้สึก ที่สำคัญจะต้องไม่ตั้งตนเป็นผู้ชี้นำทิศทางหรือกระแสสังคมเรื่องนี้ควรขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และเห็นด้วยว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรการหรือกฎหมายจะต้องหาทางป้องกันปัญหาที่กล่าวมาในทุกมิติด้วย